000
ปรึกษาเครื่องเสียง อจ. ไมตรี โทร 099-569-6459    
 
บอร์ดพูดคุย, ซื้อ-ขายเครื่องเสียง
>> audio-teams.com
>> noom-hifi.com
>> wijitboonchoo.com
>> hifi55.com  
>> sk-audiophile.com
>> htg2.net
นิตยสารเครื่องเสียง
>> what Hi-Fi? Thailand
>> The Wave
>> Audiophile-Videophile
>> gm2000.com
>> The Stereo
ร้านค้าเครื่องเสียง
>> Piyanas Electric
>> KS Sons Group
>> Conice (บ้านทวาทศิน)
>> อัศวโสภณ
>> munkonggadget.com
>> bkkaudio.com
 
ปรับขนาดตัวหนังสือ เช่น 15, 16, 18, 20, + + / ยกเลิกใส่ 0 :

หมวดหมู่ > > > ต้นเหตุหูเสียไม่ใช่แค่ฟังดัง รู้แล้วจะสยอง
วันที่ : 04/11/2015
244 views

ต้นเหตุหูเสียไม่ใช่แค่ฟังดัง.......รู้แล้วจะสยอง

ในอดีตก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าต้นเหตุของหูหนวก(เสีย)เกิดจากการฟังเสียงที่ดังเกินไป ทั้งการฟังอย่างชั่วครู่ชั่วยาม และฟังแช่ไปนานๆ

       การฟังเสียงดังเกินไป ในระดับมากกว่า 120 Db SPL ถือว่าน่ากลัวแล้ว ความดังระดับนี้เทียบเท่าพอๆกับไปยืนที่ทางวิ่งสนามบิน และมีเครื่องบินเจ็ตบินขึ้นผ่านศีรษะเราไปเรียกว่าหูอื้อกันเลยอาจไม่หูหนวกทันทีอย่างถาวร

       แต่ถ้าดังกว่า 140 Db SPL  ถือว่าอันตรายมาก มีสิทธิ์หูหนวกถาวรได้เลย โดยอาจไม่เกิดทันทีทันใด อาจรู้สึกมีเสียงงิ้งๆในหูแช่อยู่ ตื่นนอนตอนเช้าก็พบว่า โลกนี้เงียบสนิท คือหูหนวกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างถาวร

       อันตรายมากที่ปัจจุบันในวงการเครื่องเสียงรถยนต์มีการแข่งการจัดชุดเครื่องเสียงที่ให้ความดัง(SOUND PRESSURE LEVEL หรือ SPL )มากขึ้นๆจาก 125 dB SPL จนล่าสุดทะลุ 184 dB SPL (ลงทุนกันที่ 5 – 6 ล้านบาท/ชุด) ซึ่งที่ระดับ 184 dB SPLกำลังอัดอากาศในเสี้ยววินาทีที่เปิดเสียง(ชั่วแว้บเดียว,เขาวัดกันแค่นั้น                                          ที่อยู่ภายในรถ สามารถฉีกแผ่นกระดาษพิมพ์ดีดธรรมดาให้กระจายกระจุยเป็นเศษๆได้ชั่วพริบตา! ถ้าคนอยู่ก็มีสิทธิตายได้ ที่จริงเอากันแค่ 125 dB SPL ก็ถือว่าเหลือๆแล้วไม่รู้จะเอามากกว่านี้ไปทำไม

       ในทางการแพทย์ กำหนดกันว่าแม้ความดังเสียงที่ระดับประมาณ 80 – 86 dB SPL ถือว่าไม่ก่อให้เกิด                                      อันตรายทันทีทันใด แต่ถ้าต้องฟังไปนานๆวันแล้ววันเล่าเช่น ในโรงงานตีเหล็ก,ประกอบเครื่องจักร ฯลฯ ก็มีสิทธิทำให้หูเสียถาวรได้

       ในบ้านอยู่ทั่วๆไป ระดับเสียงรบกวนน่าจะอยู่แถวๆ 60 – 70 dB SPL ซึ่งถือว่า สงบพอรับได้ ไม่น่า                                      รำคาญเท่าไรเช่นพวกคอนโด,บ้านที่อยู่ใกล้ถนน,ทางด่วน  ในห้องสมุดน่าจะอยู่แถวๆ 27 – 30 dB SPL เครื่องปรับอากาศ(เฉพาะส่วนพ่นลมในห้องหรือ FAN UNIT )จะอยู่ที่ 27 – 32 dB SPL (ที่ความเร็วลมต่ำสุด LOW)ซึ่งถือว่าพอไหว

       อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกว่าเสียงนั้นดังจนน่ารำคาญไม่ใช่ขึ้นอยู่กับระดับหรือปริมาณ(SOUND LEVEL) อย่างเดียว หากยังขึ้นอยู่กับว่า

  1. เสียงนั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีทันใดขนาดไหน เรียกว่า TRANSIENT RESPONSE ขนาดไหนอันมีผลต่อแรงอัดหรือค่อยๆดังขึ้นๆช้าๆ ยิ่งดังอย่างฉับพลันยิ่งน่ารำคาญและเหมือนกับว่ามันดังกว่าตัวเลขที่วัดปริมาณได้ด้วยเครื่องมือวัดระดับเสียง ( SOUND LEVEL METER )อย่างมาก
  2. เสียงนั้นมีความถี่เท่าไร อยู่ในช่วงความถี่ไหน เพราะหูมนุษย์ไวต่อความถี่เสียงแต่ละช่วงไม่เท่ากัน ความถี่ช่วงเสียงกลางๆหูจะตอบสนองได้ดีที่สุด แต่ถ้าขยับไปที่ความถี่ต่ำๆเช่น 30 – 50 Hz แม้มิเตอร์วัดระดับเสียงขึ้นเท่ากันแต่จะฟังเหมือนค่อยลงมาก
  3. เสียงนั้นมีรูปคลื่นอย่างไร มีความเพี้ยน(DISTORTION)มากน้อยแค่ไหน เช่น วิทยุกระเป๋าหิ้ว                                                       ความดังแค่ 3 W ทำไมฟังน่ารำคาญกว่าชุดสเตอริโอเป็น 100 วัตต์
  4. เสียงนั้นเกิดขึ้นโดดๆหรือเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงรบกวนอื่นๆสารพัดด้วย

ในอดีตคนที่มีปัญหาหูตึง,หูเสีย,หูหนวก มักเกิดจากอายุที่มากขึ้น พวกคนแก่คนเฒ่า แต่ปัจจุบันไม่กี่ปีมานี้เราพบว่าจำนวนของคนหูตึง,หูเสียกลับไม่เฉพาะคนแก่อีกต่อไป

ชาวอเมริกันเกือบ 50 ล้านคน หูหนวกถาวร ในจำนวนนี้มีเด็ก 12- 15 % จากสาเหตุไม่ใช่เรื่อง                                          อายุ แต่เป็นการได้รับเสียงรบกวนในแต่ละวัน ในชีวิตประจำวันธรรมดานี่เองมันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องยอมรับโดยดุษฎี สาเหตุก็คือ การได้รับเสียงรบกวน(NOISE)เกินความปลอดภัย

แม้ว่าจะมีกฎระเบียบเรื่องความปลอดภัยจากเสียงรบกวนภายในโรงงานที่ออกโดยรัฐบาลต่างๆ แต่มีรัฐบาลน้อยมากที่จะมุ่งเตือนประชาชนเรื่องอันตรายจากเสียงรบกวน(NOISE)รอบๆตัวในชีวิตประจำวัน ไม่ว่า จากเครื่องเสียงพกพา(ด้วยหูฟัง(HEAD PHONE)),จากฟังเพลงผ่านโทรศัพย์มือถือ,จากTABLET,จากการดูโชว์, คอนเสิร์ท(สด,สถานเริงรมย์),จากที่เป่าผม,                                                     ไซเรนจากสารพัดรถฉุกเฉิน(รถพยาบาล,ป่อเต็กตึ้ง,ร่วมกตัญญู,รถตำรวจ),จากที่ดูดฝุ่น,เครื่องตัดหญ้า,ที่ปั่นน้ำผลไม้,ปั๊มน้ำ,เสียงแตรรถ(รถสิบล้อ,รถทัวร์),ตู้เกมส์(ตามห้างที่มีเป็นสิบๆตู้),ของเด็กเล่นที่ส่งเสียงได้(บางชิ้นให้ระดับเสียงดัง 90 dB),ในคลับหรือภัตตาคาร,ฟู้ดคอร์ทตามห้าง ฯลฯ

เครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้มักให้ระดับเสียงรบกวนสูงถึง 85 dB ซึ่งอยู่ในข่ายอันตรายเมื่อฟังไป                                     เรื่อยๆต่อเนื่องไปนานๆ

ที่อันตรายที่สุดก็คือ พวกฟังเพลงจากหูฟังซึ่งมักเปิดกันดังสนั่น(ภายในหูและบ่อยครั้งที่รั่วออกมารบกวนผู้อื่นน่าจะมีกฎหมาย) พวกนี้เปิดดังระดับพอๆกับเสียงเครื่องบินไอพ่นเชิดหัวขึ้นจากลานบีนทีเดียว

      เสียง ที่เข้าสู่หูของเรา จะไปสั่นเยื่อแก้วหู(EAR DRUM)แล้วส่งต่อไปยังแผงเซลล์ขน(COCHLEA)ของหูชั้นใน เซลล์ขนเหล่านี้จะส่งคลื่นไฟฟ้าไปบอกประสาทรับรู้ด้านเสียงที่สมองอีก                                               ที(AUDITORY)เสียงที่ดังมากๆหรือแม้จะไม่ดังมากแต่ดังพอและอย่างต่อเนื่อง จะไปทำให้เซลล์                                                   ขน(HAIR)เหล่านี้เสียระเบียบยุ่งเหยิงและถึงขั้นเสียหายอย่างถาวรได้(ร่างกายสร้างซ่อมเซลล์ขน เหล่านี้ไม่ได้)เราก็จะสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร โดยจะเกิดกับกลุ่มเซลล์ขนที่รับรู้ความถี่สูงๆก่อนจากนั้นจะกินลงมาที่ความถี่กลางๆ(เสียงพูด)

  •  

ในเรื่องของเครื่องไฟฟ้าที่ส่งเสียงดังและเราต้องอยู่ชิดติดมันขณะใช้งาน ก็ให้หาอุปกรณ์ป้องกันมาสอดรูหู,ครอบหู(แม้แต่ตอนเป่าผม,ตัดหญ้า ฯลฯ)

จากการรวบรวมสถิติปี 2006 ของ AMERICAN SPEECH-LANGUAGE-HEARING ASSOCIATION พบว่าในหมู่ผู้ที่ใช้หูฟังกับเครื่องเสียงพกพา เป็นผู้ใหญ่ 35 % และเป็นเด็กถึง 59 % ที่ฟังกันที่ระดับเสียงดังเกินไป

บ่อยๆที่นักฟังเครื่องเสียงพกพาพวกนี้จำต้องเร่งวอลลูมสูงมาก ก็เพื่อเอาชนะและกลบเสียงรบกวนจากภายนอก ทางที่ปลอดภัยของการใช้งานคือ ควรหามี่เงียบสงบแล้วลองเร่งวอลลูมดูจนรู้สึกว่ามันดังเกินไปแล้ว ก็จำตำแหน่งการเร่งวอลลูมนั้นไว้เพื่อว่าเวลาอยู่กับเสียงรบกวนจะไม่เร่งวอลลูมเกินขีดที่เช็คเอาไว้ก่อนนั้นหรือไม่ก็หาหูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวนที่ดี ไม่ว่าแบบ PASSIVE คือปิดผนึกตัวเองกันเสียงรบกวนจากภายนอก(ISOLATION)เช่นพวกครอบใบหู,                                                      แบบแยงรูหู(IN EAR หรือ EARBUD) หลีกเลี่ยงแบบแปะหู,เปิดห้องระบายอากาศ  อีกแบบคือแบบ                                              ACTIVE ใช้วงจรอีเล็กโทรนิกส์บวกกับไมโครโฟนจิ๋วในการทำซ้ำเสียงรบกวนจากภายนอกที่รั่วเข้าไปในหูฟังแล้วสร้างสัญญาณเสียงหักล้างกันเอง(เรียก NOISE CANCELLATION) ซึ่งที่วางจำหน่ายแม้จะมีราคาสูงกว่าปกติ 50 – 100 % แต่ก็คุ้มค่าต่อความปลอดภัยต่อหู เพราะไม่ต้องเร่งวอลลูมดังมาก แต่ก็ต้องระวังไม่ใช้งานขณะเดินอยู่ตามถนนเพราะอาจจะไม่ทันสังเกตเสียงเตือนอันตรายจาดภัยนอกได้ รวมทั้งคุณภาพเสียงจะลดลงบ้าง

       สาเหตุของหูเสีย ล่าสุดที่นึกกันไม่ถึงหรือยังไม่มีใครพูดถึงเลย(แม้แต่คนเดียว)ก็คือ หูเสียจากการฟังเสียงที่คุณภาพต่ำ(ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงดังๆหรือฟังแช่นานๆ)

  • DYNAMIC COMPRESSAD)                                        ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุอะไร(คือ DYNAMIC RAGE หรือ DYNAMIC CONTRAST แคบลง) การหวั่นเกรงว่า เสียงจะสวิงดังจนรบกวนผู้อื่น,ข้างบ้าน,คนในบ้าน ทั้งหมดนี้จะไปสั่งให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบๆแก้วหูยืด-หดตัวไปมาจนเกร็งและตึง,ล้า,เจ็บหู(แบบตื้อๆตันๆ)

ขณะเดียวกัน สุ้มเสียงที่ไม่ชัดเจนเช่นความถี่ตอบสนองไม่ราบรื่น ,บางความถี่โด่ง,บางความถี่เสียงตก แถมความถี่ที่เป็นปัญหาเหล่านี้ก็ขยับความถี่เลื่อนไปมาตามความดังของเสียงขณะนั้นๆ(คือ วอกแวก,ไม่นิ่ง,คุ้มดีคุ้มร้าย)จะทำให้แผงเซลล์เส้นขนเหล่านั้นต้องทำงานคอยช่วยชดเชย(การตก-เกิน)ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จบสิ้นจนหูล้า,เจ็บ

เสียงที่คลุมเครือ ทื่อๆ ไม่คมชัด ขาดรายละเอียด หยุมหยิม ขาดความสด จะสร้างความสับสนแบบองค์รวมของ 2 กรณีแรกที่กล่าวไปแล้ว อีกทั้งระบบประสาทการได้ยินจะต้องทำงานหนักมากเพื่อประมวลผลว่าเสียงที่ได้ยินเหล่านั้นคืออะไรแน่ สมองจะอ่อนล้า ลดความแม่นยำของระบบควบคุมแก้วหูและแผงเซลล์ขน ทำให้มันทั้งสองต้องทำงานหนักขึ้นอีก

เสียงซ้าย-ขวา ที่มีปัญหา ผลักดันมวลอากาศกลับทิศทางกัน(กลับเฟส) จะทำให้ฟังโหว่งๆ อั้นๆ อื้อๆ สมองจะสับสน เกิดความเครียดที่เยื่อหูและประสาท

ในการใช้หูฟัง อย่าลืมตรวจดูว่า ด้านไหนซ้าย ด้านไหนขวาด้วย(มีผลต่อมิติและสุ้มเสียง) ผลของอาการเหล่านี้ปรากฏกับผู้เขียนเองในอดีตสมัยไม่มีห้องฟังของตนเอง แม้ปัจจุบันถ้าต้องการฟังเครื่องเสียง(ไม่ว่าเป็นอะไร)ที่ไม่สมบูรณ์พอ ก็จะรับรู้ปัญหานั้นได้ทันที ส่วนหนึ่งจากการเกิดอาการไม่ดีดังกล่าว เทียบกับที่เคยฟังสุ้มเสียงที่ครบสมบูรณ์กว่ามาก่อน

เพื่อนของผู้เขียนเองยิ่งแล้วใหญ่ แกมีอาการหนักหนาสาหัสกว่าผู้เขียนมาก ทุกครั้งที่ได้ฟังเครื่องเสียงที่เสียงแย่ๆ(มีปัญหา)แม้จะไม่ได้เปิดดังอะไรเลย และฟังแค่ไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ

นี่อาจเป็นตัวอธิบายได้ในอีกมุมมองหนึ่งว่า ทำไมเครื่องเสียงที่เสียงแย่ๆแม้เราไม่เร่งดังอะไรเลยแต่ทำไมกลับรู้สึก “หนวกหู”, “รำคาญหู”(ซึ่งถ้าคงอาการนี้ไว้นานๆ บ่อยๆ เชื่อว่าจะทำให้หูเสีนเช่นกัน)   เครื่องเสียงที่แย่ๆอุบาทว์หูนั้นเพราะมีความเพี้ยนสูงนั่นเอง

เช่นเดียวกัน พวกเครื่องเล่นเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดที่บางชิ้นแม้จะดูเผินๆก็ไม่ได้ดังตูมตามมากมายอะไร แต่ทำไมทำให้หูเสียได้ ก็เพราะมันส่งเสียงที่อุบาทว์หู เสียดแทง เต็มไปด้วยความเพี้ยนนั่นเอง

       สรุป

ขอให้ระลึกและมาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า หูเสีย ไม่จเป็นต้องเกิดจากระดับเสียง,ระยะเวลาการฟังแช่ต่อเนื่องอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเสียงนั้นๆด้วย

       เรื่องน่าคิดต่อไปก็คือ การใช้โทรศัพท์มือถือที่แทบทั้งหมดรับฟังด้วยหูข้างเดียว(หูขวา) จะมีผลต่อการเคยชิน(MEMORY EFFECT)ของแผงเซลล์ขนของหูซีกซ้ายและขวากับเซลล์กล้ามเนื้อแก้วหู ที่นานๆจะเกิดการเคยตัว                                         ที่ต่างบุคลิกกันความ “แม่นยำ”ในการฟังปกติ เมื่อกลับมาฟังด้วย 2 หูจึงเสียความสมดุลไป  ปัญหานี้จะเกิดกับนักร้อง,วาทยกร,นักดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ตที่ใช้หูฟังข้างเดียวด้วยหรือเปล่า

  • BLUETOOTH ฟังหูเดียว) ก็เช่นกัน เห็นบางคนใส่แช่ทั้งวัน(หูเดียว)และคลื่นวิทยุระบบBLUETOOTH มีผลต่อประสาทสมองได้ยินหรือไม่ อย่างไรเช่นกัน

www.maitreeav.com

www.maitreeav.com
สำนักงาน : 313/129 ซ. เคหะร่มเกล้า 64 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
โทร. 081-5500269 , 099-569-6459