ช่องทางการเข้าถึงลูกค้าเศรษฐี
โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ
- ต้องกัดฟันทุ่มทุนเปิดโชว์รูมในห้างหรูอย่างสยามพารากอน หรือ CENTRAL WORLD หรืออย่างน้อยก็อัมรินทร์พลาซ่า ซึ่งถ้าโชว์รูมขนาดใหญ่ก็ต้องจ่ายค่าเซ้งสัก 30 ปี ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ค่าตกแต่งอีกอย่างน้อย 3 ล้านบาท ค่าสต๊อกสินค้าอีกอย่างน้อยๆ 10 ล้านบาท พูดง่ายๆว่าต้องมีเงินสดประมาณ 40 – 50 ล้านบาทมาเล่น
เพราะคงไม่มีเศรษฐีคนไหนที่จะเอาเงินหลายๆแสนบาทหรือนับล้านๆบาทมาซื้อเครื่องเสียงกับผู้นำเข้า (โชว์รูม) ที่โทรมๆ กิ๊กก๊อก อยู่ในศูนย์การค้าระดับล่างที่ไม่รู้ว่าจะเปิดร้านอยู่ได้ถึงปีหรือเปล่า จะเป็นเอเย่นต์ได้สักกี่ปี หรือเป็นแค่ “ลูกอีแอบ” หิ้วหรือสั่งสินค้าจากร้านค้าปลีกเมืองนอก (DEALER) มาขายแบบ “เฉพาะกิจ” วันนี้ขายพรุ่งนี้เลิก ปัดความรับผิดชอบ ไม่ได้เป็นตัวแทนแต่งตั้งจริงจากเมืองนอก ขายเสร็จ “ลอยแพ” ลูกค้าหน้าตาเฉย ดูง่ายๆ ร้านเล็กแต่สินค้าหลากหลายยี่ห้อเพียบ เปิดขายกันตามป่าเขาลำเนาไพร ในซอกซอยหมู่บ้าน ไม่ขึ้นห้าง
อย่างไรก็ตาม การต้องลงทุนมหาศาลขนาดนี้ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อผู้ที่อยากทำธุรกิจไฮเอนด์อย่างจริงๆจังๆ ตั้งใจจริงแต่ไม่มีทุน โดยเฉพาะสู้ค่าเซ้ง ค่าเช่าที่สูงลิบไม่ไหว บางทีอุตส่าห์ปั้นสินค้าแทบตาย วันดีคืนดีก็ถูก “ทุนใหญ่” แย่งเอเย่นต์ไปอย่างหน้าตาเฉย
- ต้องตกแต่งโชว์รูมให้น่าสนใจ โดยเฉพาะห้องฟังต้องใช้ได้จริง ไม่ก้อง ไม่หลอกหู อาจไม่ต้องหรูระยับก็ได้ ขอแต่ให้ฟังแล้วจับประเด็นได้ว่าอะไรเป็นอะไร แยกแยะของดีของเลวได้ (ห้องฟังประเภทตีไม้ระแนงเป็นร่องเลิกได้แล้ว ของแข็งมันจะดูดซับเสียงได้อย่างไร มีแต่ช่วยตีเสียงก้องใหญ่ให้เป็นฝุ่นเสียงคละคลุ้งเป็นความก้องเกลี่ยๆ เฉลี่ยทุกช่องความถี่เท่านั้น ทำลายอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงกวน กลบรายละเอียดหยุมหยิมค่อยๆหมด ห้องแบบนี้เขาไว้ทำห้องแสดงดนตรีเท่านั้น รู้ไว้ด้วย)
- ต้องติดตั้ง (SET) ชุดให้เป็น ต้องโคตรพิถีพิถันทุกตารางนิ้ว นับตั้งแต่สายไฟ AC (ทิศทาง) ที่เข้าห้องเสียง ,การ ขันน๊อตสายไฟที่แผงจ่ายไฟใหญ่,ทิศทางสายต่างๆ,การยกหนีพื้นห้อง,การไม่วางเครื่องทับซ้อนกัน,การหนีห่างพวกจอภาพทั้งหลาย,การฟังทดสอบขาปลั๊กไฟ AC ,การเอียงลำโพง (ไม่รู้ว่าร้านขายเครื่องเสียงไฮเอนด์จะ “ขวางโลก” กันไปถึงไหนในการเอาแต่ตั้งลำโพงหน้าตรง ผิดทั้งหลักฟิสิกส์ของลำโพงและเสียทั้งสุ้มเสียง/มิติเสียง เดินเข้าร้านไหนตั้งลำโพงหน้าหันตรงให้ฟังละก็ เดินออกได้เลย จะขายของไฮเอนด์ยังไม่รู้เลยว่า เสียง/มิติที่ดีเป็นอย่างไร ควรติดตั้งอย่างไรให้ได้อย่างนั้น อย่าฝากชีวิตไว้กับคนหูหนวกตาบอดให้นำทางเลย)
- จากข้อ 3 นั้นหมายความว่า ทั้งผู้นำเข้า (นายทุนเจ้าของเอเย่นต์),ผู้ขายต้อง ฟังเป็น และติดตั้งเป็น ถ้ายังฟังไม่เป็น ยังคลำช้างหลงทาง อย่ามาขายไฮเอนด์เลย ไม่รุ่งหรอก ไม่ถูกฝรั่งหลอก ก็หลงหลอกคนไทยด้วยกันเอง วางผิดอย่างนี้จะได้รู้กันเสียทีว่า นักวิจารณ์คนไหนเจ๋งจริงหรือท่าดีทีเหลว มีแต่ราคาคุย วางฟอร์ม!
- ต้องอย่าหยิ่งผยอง ยโสโอหัง ดูหมิ่นลูกค้า เห็นแต่งตัวกระจอก หน้าตาบ้านนอกหรือกรรมกร ก็ไม่กุลีกุจรต้อนรับ จะบอกอะไรให้ ถ้าร้านคุณหรู มีแต่ของแพงแล้ว มีใครสักคน “กล้า” เดินเข้าร้านคุณ เดินดูชม (ฟัง) สินค้าละก็ ย่อมไม่ธรรมดา (กรุณากลับไปอ่านที่มาที่ไปของคนรวยทั้ง 5 สายพันธุ์ ข้างต้น) คนระดับล่างที่ทั้งชาติก็ไม่มีปัญญาเป็นลูกค้าคุณ พวกเขาไม่กล้าสะเออะเข้าหรอก
แต่ก็ว่าไม่ได้ บ่อยๆที่ลูกค้าเป็นพวกเสี่ยดม เสี่ยชิม จริงๆไม่มีปัญญาซื้อหรอก แต่เป็นพวกนักเล่นตัวจริง ชอบตะเวนหาประสบการณ์ไปทั่ว พวกนี้มักเป็นที่พึ่งพาของเพื่อนฝูงขอคำปรึกษาในการเลือกซื้อเครื่องเสียง เขาอาจไม่ใช่ลูกค้าของคุณโดยตรง อย่างน้อยก็ในตอนนี้แต่อนาคตไม่แน่ (คนเรามันฟลุ๊คกันได้ไม่ใช่หรือ!) แต่ที่แน่ๆเขาอาจพาพี่น้อง,เพื่อนฝูง,ญาติโยมมาซื้อกับคุณได้ เพราะฉะนั้น จงอย่า LOOK DOWN (แปลว่า มองหมิ่น ,มองข้าม ,ดูถูก) ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินเข้ามาในโชว์รูมของคุณเด็ดขาด
- เมื่อขายของไฮเอนด์ ทุกอย่างต้องไฮเอนด์ ความสะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบของโชว์รูม,พนักงาน,ห้องน้ำ,โซฟา (ไม่ใช่ทั้งปีไม่เคยดูดฝุ่น นั่งทีไรคันยิกๆจากตัวไรทุกที) แคตตาล็อคต้องพร้อม เมืองนอกไม่ให้มา (ไม่พอ) ต้องจัดทำเผื่อไว้ คำว่า ไม่มี ,หมด ,วันหลังมาเอา ,แล้วจะส่งตามไป ฯลฯ ต้องไม่นำมาเป็นข้ออ้าง แม้กระทั่งการแต่งตัว,บุคลิกของคนขาย,พนักงานต้องสะอาด,เรียบร้อยอาจไม่ต้องหรูหราถึงขั้นใส่สูทผูกไท (แสดงความเป็นขี้ข้าฝรั่งตะวันตก) แต่อย่างน้อยบุคลิกหน้าตาคนขายควรดูแล้วน่าเชื่อถือ ไม่ใช่บุคลิกล็อกแล็กไม่น่าไว้ใจ หน้าตาอย่างกับโจรหรืออกกระเทย, ตุ๊ด หนวดเคราเฟิ้มอย่างกับมาเฟีย กลิ่นตัว กลิ่นบุหรี่หึ่ง
เป็นเรื่องแปลกแต่สามัญ ที่ลูกค้ามักคุ้นเคยและให้ความเชื่อถือกับคนขายผู้ชายมากกว่าคนขายผู้หญิง อาจเป็นเพราะโดยธรรมชาติมีแต่ผู้ชายด้วยกันที่เล่นเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์หรือเขาจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีถ้าต้องขอคำปรึกษาจากผู้หญิง
- ถ้าโชว์รูมอยู่ในศูนย์การค้าหรู คนขายควรพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างโอเคเป็นอย่างน้อย ต่อไปถ้าได้ภาษาญี่ปุ่นด้วยยิ่งดี (ในอนาคตจีนด้วย)
- ต้องมี “ทีม” ติดตั้งระดับไฮเอนด์ พร้อมที่จะไปแก้ปัญหาให้ลูกค้าถึงที่บ้าน ซึ่งแน่นอนพนักงานเหล่านี้ต้องไว้ใจได้ว่าจะไม่ไปทำให้ลูกค้าลำบากใจ (ไม่ระวังต่อความเสียหาย อะไรอื่นๆเช่นพื้น,เฟอร์นิเจอร์ของลูกค้า) ไม่มือๆไวแอบหยิบฉวย ขโมยของในบ้านลูกค้า ต้องไม่สูบบุหรี่ในบ้านลูกค้าเด็ดขาด ห้ามแบมือขอทิป (นอกจากลูกค้าจะเมตตา ถูกใจให้เอง) ห้ามเสนอขายไม่ว่าอะไรก็ตามให้แก่ลูกค้า แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เกี่ยวกับสินค้าของบริษัท (พูดง่ายๆว่าห้ามไซด์ไลน์เด็ดขาด) เพราะถ้ามีปัญหาลูกค้าจะโทษเด็กและลามมาถึงบริษัทได้ มีกรณีปัญหาเกิดเยอะมากพอที่จะกำหนดเป็นข้อห้าม (ตรงนี้บริษัทฯ ต้องจัดสมดุลรายได้ให้เด็กดีๆ ไม่อย่างนั้นเด็กหนีไปอยู่ที่อื่นหมดเพราะอยู่นี่ไซด์ไลน์ไม่ได้)
- ต้องมีแผนกรับของเทิน (ของเก่า) จากลูกค้า ไม่ว่าของบริษัทเองที่ลูกค้าซื้อไปหรือของเดิมที่ลูกค้าใช้อยู่ ลูกค้าพวกนี้ถึงแม้เป็นคนมีเงินก็จริง แต่เขาคงทนไม่ได้ที่จะซื้อของใหม่ขณะที่ของเก่าก็คา,รก เต็มบ้าน เกะกะ ต้องคอยตอบคำถามแม่บ้าน บางครั้งมันไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว คิดดูว่า ห้องฟังหรือห้องรับแขกของเขาตกแต่งอย่างหรูเริด ค่าตกแต่งเป็นล้าน แต่ต้องมารกด้วยลำโพง ด้วยเครื่องที่ไม่รู้จะวาง (เก็บ) ไว้ที่ไหน
ยิ่งถ้าเป็นเศรษฐีแบบหัวการค้า ยิ่งรับไม่ได้กับการ “จม” ของเก่าแบบดูไร้ค่า แทนที่จะออกตัวไปหักกับค่าของใหม่ได้ มาก-น้อยว่ากันไป แต่ไม่ใช่ต้องมาจมเป็นเศษขยะราคาแพง
บอกได้เลยว่า ถ้าคิดจะขายเครื่องเสียงไฮเอนด์แต่ปฏิเสธที่จะรับเทินของเก่า ก็คงต้องนั่งตบยุง รอแต่ลูกค้าประเภท “เปิดบริสุทธิ์” ซึ่งชั่วโมงนี้หายากพอๆกับงมเข็มในมหาสมุทร อาจได้บ้างจากต่างชาติที่มาตั้งรกราก (ชั่วคราว) ในเมืองไทย ไม่ได้แบกเครื่องเสียงมาด้วยหรือลูกค้าเงินมืด,เงินฟลุ๊ค ที่ในชีวิตเพิ่งมีปัญญาเล่นไฮเอนด์กับเขาหรือพวกฟอกเงินมืด
ในการรับของเทินก็ต้องบริหารให้ดีๆ ต้องสามารถ “ปล่อย” ของได้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นเงินทุนจะ “จม”กับของเก่าจนตัว “กำไรของใหม่” ไม่พอมาเลี้ยงบริษัทจนเจ๊งในที่สุด (เห็นมาเยอะแล้ว)
ความสามารถ,ช่องทางในการ “ปล่อย” ของเก่าได้อย่างมี “ประสิทธิภาพ” ที่สุด จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นยอดขายและเป็น “ความอยู่รอด” ของบริษัทที่สำคัญที่สุด (มันยิ่งกว่าค่าใช้จ่ายปกติเสียอีก)
- ความซื่อสัตย์ของพนักงาน นับตั้งแต่ฝ่ายผู้จัดการโชว์รูมไล่เรียงถึงพนักงานขาย อย่าลืมว่าเครื่องเสียงไฮเอนด์แต่ละชิ้นราคานับแสนนับล้านบาท ลองคิดดูว่า ถ้าทั้งโชว์รูมร่วมกันทุจริต สร้างลูกค้าเก๊ๆขึ้นมา หรือใช้พวกตัวเองวางมาดเป็นเสี่ยมาซื้อเพื่อหลอกผู้จัดการโชว์รูม เครื่องเสียงชุดหนึ่งสัก 4 ล้านบาทมัดจำ 10 % ก็สี่แสนบาททำ เป็นให้ไปส่งที่บ้าน ไปเก็บเงินที่เหลือที่บ้าน เด็กคนขายไปส่ง 2 คนแล้วหายหนีไปเลยพร้อมลูกค้า เป็นอันว่าบริษัทสูญเงินสามล้านหกแสนบาทฟรีๆ สมัยนี้เด็กขายของกล้าโกงแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง จากนั้นทีมโกงหาช่องทางไปปล่อยสักสามล้านสี่แสนบาท แบ่งกันแล้ว (3 คน) ก็ได้แล้วคนละล้านบาท ต้องไปเป็นลูกจ้างกี่เดือนกี่ปีกว่าจะเก็บเงินได้สักล้านบาท (เงินเดือน 10,000 บาททำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปีจึงจะเก็บเงินได้ล้านบาท)
กำลังจะบอกว่า เนื่องจากการขายสินค้าไฮเอนด์ มันเป็นเงินก้อนใหญ่ยั่วใจเด็กคนขายพวกนี้จะกล้าแลกหมัด ลองคิดดูว่าถ้าผู้จัดการเล่นด้วย เล่นกันเป็นทีม สร้างออเดอร์เก๊สัก 2 – 3 รายในแค่ 1 เดือน – 2 เดือน เงินสิบล้านไม่เหลือวิสัยที่พวกเขาจะโกงได้เลย น่ากลัวจริงๆถ้าเถ้าแก่ไม่ลงมาดูแลเองหรือระบบมีจุดโหว่ ก็ไปคิดหาทางปิดรูรั่วกันเอาเองก็แล้วกัน
- ระวังเด็กคนขายเล่นบทผู้หวังดี ทำทีเป็นช่วยเอาเครื่องเสียงเก่าของลูกค้าขนไปขายให้ อาจอ้างโน่นนี่เช่น อ้างว่าเสี่ย (เจ้าของบริษัท) เขาทำธุรกิจซื้อขายของเก่าส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่ไม่เป็นไร เด็กจะให้ลูกค้าหักเงินค่าของเก่าไปเลยเช่น ซื้อลำโพงคู่ละ 1 ล้านบาท เด็กตีของเก่าให้หกแสนบาท (จริงๆควรตีแค่สี่แสนบาทแต่เพื่อล่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่าย) แล้วให้ลูกค้าจ่ายส่วนต่างแค่สี่แสนบาทให้บริษัท เขียนเป็นเช็คเงินสดจ่ายบริษัทเลย เด็กก็จะนำเช็คนี้ส่งบริษัทๆทำเป็นว่าลูกค้าจ่ายมัดจำก่อน 40 % ซึ่งฝ่ายการเงินดูแล้วก็โอเค ลูกค้าคงไม่เบี้ยว เด็กก็จะบอกว่าลูกค้าขอเวลาบ้านเสร็จสัก 2 เดือนค่อยส่งของ ซึ่งผู้ใหญ่ดูแล้วสมเหตุสมผล จากนั้นเด็กก็จะเอาของเก่าไปวิ่งขาย ถ้าจะกินไกลต่อเนื่องก็จะขายพอมีกำไรสัก 2 – 3 หมื่นบาทก็รีบปล่อย แล้วเอาเงินหกแสนบาทมาจ่ายบริษัททำเป็นแคชเชียร์เช็ค (ตรงนี้บริษัทควรเอะใจ ทำไมการสั่งจ่ายไม่มีลายเซ็นลูกค้าเหมือนใบแรก!) เรื่องก็จบลงด้วยดี ทุกฝ่ายแฮปปี้ เด็กอาศัยโชว์รูมบริษัททำมาหากินซ้อนไปด้วย ถ้าหมุนเก่งๆมีเส้นสายเครือข่ายดีๆมีลูกค้าเก่าๆในมือ อาจหาเงินได้เดือนหนึ่งเป็นแสนบาทสบายๆ (แล้วทำไมบริษัทฯไม่ทำเสียเอง?)
แต่ถ้าเด็กโลภ หมุนเงินก้อนโตๆขึ้นเป็นล้านๆบาทก็มีสิทธิ์จะคิดสั้น ชักดาบทั้งหมดเลย หรือถ้าหมุนไม่ออกหรือถูกลากเงินจากเครือข่ายอีกที ก็มีสิทธิ์ล้มเป็นลูกระนาด สุดท้ายบริษัทเจ็บตัว เด็กชะแว๊บหายเข้ากลีบเมฆ
ยิ่งเด็กเป็นคนเก่าแก่ในวงการ ยิ่งมีโอกาส “ปั่น” แบบนี้ได้สูง ใครเป็นเจ้าของบริษัทก็ชะเง้อดูบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน
- ดังนั้น บริษัทต้องมีการตรวจเช็คย้อนกลับทุกขั้นตอน และต้องไม่ให้เด็กคนขายถือเงินเด็ดขาด ต้องแยกแผนกขาย,แผนกส่งของ,แผนกติดตั้ง,แผนกเก็บเงิน เป็นคนละส่วนกันหมด ต้องสื่อสารกับลูกค้าตลอดเวลา (KEEP CONTRACT) มีฝ่ายตรวจเยี่ยมลูกค้า (ถามจริงๆคุณจะปล่อยให้ลูกค้าเป็นลูกค้า “ส่วนตัว” ของเด็กหรือเป็นลูกค้าของ “บริษัท” แต่ก็ระวังอย่าให้เป็นการไปก้าวก่ายหรือแย่งลูกค้าของร้านขายปลีก ผู้ใหญ่,เจ้าของบริษัทอย่าไปเอง)
- ต้องสามารถจัดติดตั้งชุดสาธิตที่โชว์รูมให้เสียง/มิติออกมาเนี้ยบที่สุด พูดแล้วคุณอาจไม่เชื่อ ผู้เขียนได้ตะเวนฟังตามโชว์รูมเครื่องเสียงไฮเอนด์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแทบไม่มีโชว์รูมไหนจูนเสียง/มิติได้เข้าท่าเลย!! แล้วอย่างนี้จะสร้างความประทับใจให้ลุกค้าฟังแล้วเกิดความอยากจนทนไม่ไหวได้อย่างไร สักแต่ขายกันแบบอ้างคำวิจารณ์,รางวัลจากนิตยสารต่างประเทศ ที่เอาเข้าจริงก็มั่วสิ้นดีเช่นกัน (เงินมาผ้าเปิดอีกต่างหาก) ก็เพราะอย่างนี้ วงการนี้มันถึงมีแต่เตี้ยลงๆหดลงๆมีแต่ราคาคุยทั้งคนขาย,นักวิจารณ์ไทย-เทศ โธ่ ถ้าเสียงมันออกมาแทบไม่ดีกว่าชุดพื้นๆหรือแม้แต่มินิคอมโบจีนบางยี่ห้อ ถามว่าจะมีเสี่ยหน้าโง่ที่ไหนหลับหูหลับตาซื้อ
- ต้องรบกับของหนีภาษีหรือพวกสั่งมาเอง ขายแบ่งแบบเสียภาษี (GRAY MARKET) ต้องรบกับ ส.ม.ว.ก. (สมาคมมาตรฐานอุตสาหกรรม)ของรัฐบาล ส.ม.ว.ก.นั้นเซ็งที่สุดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ของที่ควรเข้าใจได้ ควรง่ายก็กลับเป็นยาก ทำให้ผู้ทำธุรกิจเครื่องเสียงไฮเอนด์ท้อแท้อย่างมาก หลายคนอยากถอดใจ เลิกไปเลย ไปขายของหนีเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดยังปวดหัวน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้นำเข้าทำใจได้ แข่งด้วยบริการที่ถึงใจ การรับประกันที่ซื่อสัตย์ การต่อรองกับเมืองนอกเก่งๆ การเอากำไรแต่พองาม การให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่า คุณซื้อของหิ้ว เมื่อขายออกตัว คุณก็ต้องขายในราคาของหิ้วซึ่งจะถูกคนซื้อต่อ “กด” ราคาอย่างมาก ขณะที่คนที่ซื้อของห้างจะขายได้ราคาดีกว่าพอสมควรเลย ไปๆมาๆกลายเป็นว่าได้เล่นของห้างในราคาที่แทบไม่ต่างจากของหิ้ว ขอให้พวกเราผู้บริโภคไปคิดดูดีๆ อย่าเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าอย่างเดียว
อีกอย่างคือ พวกหิ้วของมาขาย คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่แอบถอดอะไหล่ของคุณไปซ่อมให้ตัวอื่นเป็นทอดๆกันมา หรือของนั้นไม่ได้ถูกขโมยมา หรือเป็นของที่ร้านขายปลีกที่เมืองนอกปิดร้านหนีตัวแทน ไม่จ่ายค่าของ และทางบริษัทแม่มีการแจ้งความและส่งหมายเลขเครื่องมาดักไว้ที่เอเย่นต์ทั่วโลก
โอเค อาจมีผู้บริโภคหน้ามืด หรือ มักง่ายบางคน เห็นดีเห็นงามกระโดดงับของหนีภาษี แต่ผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าผู้นำเข้ารู้จักทำการบ้านดีๆดังกล่าวแล้ว ก็จะยังขายของได้เอาตัวรอดได้
ขอบอกอีกครั้งว่า ผู้นำเข้าด้วยความร่วมมือจากเจ้าของสินค้าสามารถให้ทนายความยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ต่อเว็บไซด์หรือการโฆษณาในสื่อใดๆที่ทำให้ผู้นำเข้าเสียหายได้ โดยอ้างว่า “เป็นการทำลายระบบการค้า” ไม่ว่าของนั้นๆจะเป็นของใหม่หรือของเก่า จะเสียภาษีถูกต้องหรือไม่หรือแม้แต่เป็นสินค้าของผู้นำเข้าจริงๆเอง ที่อเมริกาฟ้องร้องชนะกันมาแล้ว จ่ายค่าเสียหายกันทีร้อยกว่าล้านดอลล่าร์
มาถึงบรรทัดนี้ หลายคนอ่านแล้วอาจถอดใจว่าทำไมการขายเครื่องเสียงไฮเอนด์มันถึงยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้ จริงๆแล้วถ้าเข้าใจและอ่านเกมส์ออกมันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะดำเนินธุรกิจ ขอแต่ของที่สั่งมาขายหรือทำขายให้ดีจริงเท่านั้น โดยตัวผู้สั่งหรือผลิตต้องฟังเป็นจริงๆด้วยและควรมีใจรัก ขยัน อดทน มีสายป่านที่ดีพอ รับรองว่าไปได้
อย่าลืมว่ายังไงๆธุรกิจเครื่องเสียงไฮเอนด์ ก็เหมือนขายงานศิลปะ มันมีเรื่องของศิลปะ,อารมณ์,ภาพพจน์ เข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าเรื่องของเทคโนโลยี่แบบเครื่องเสียงหรือเครื่องAV ที่ขายกันแบบมากๆ (MASS) ซึ่งพวกนั้นมีแต่เร่งออก รุ่นใหม่กันทุก 3 – 6 เดือน เพิ่มแต่ฟังก์ชั่นไร้สาระใหม่ๆแล้วหาข้ออ้างให้ดูเป็นวิชาการ โดยตีบทแค่แง่มุมเดียว (ความจริงเสี้ยวเดียว) ไม่บอกความจริงครบทุกด้าน เครื่องเสียงพวกนั้นทุกวันนี้แข่งกันจนหมดมุข วันๆเอาแต่จ้องว่าคู่แข่งจะขายเท่าไร แล้วก็ขายให้ถูกกว่า แข่งกันไปตายจริงๆ ตายกันยกแผง ตั้งแต่โรงงาน,คนนำเข้า,ร้านค้าปลีก แก้ผ้าขายของกันแล้วขายไปร้องไห้ไป จนต้องหาเทคนิค ลับ-ลวง-พราง มาห้ำหั่นกันแล้วในทุกระดับธุรกิจ
คุณอยากกระโจนลงไปในวังวน ทรายดูด หลุมดำ นั้นหรือ? หรือจะตั้งใจทำธุรกิจเครื่องเสียงไฮเอนด์ที่ขายแล้วยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนและศิลป์เหลืออยู่